วิธีการฟังและพูดตามในภาษาอังกฤษเป็นเทคนิคการเรียนที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเด็กเล็ก โดยการฟังประโยคและคำศัพท์ที่ถูกต้อง แล้วพูดตามซ้ำ ๆ หลายครั้ง เด็กจะพัฒนาทักษะการตอบสนองทางภาษาอย่างเป็นธรรมชาติ ออกเสียงได้อย่างถูกต้อง และจดจำได้ยาวนาน วิธีการเรียนรู้แบบนี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้เด็กเรียนรู้ภาษาอังกฤษได้ง่ายขึ้น แต่ยังสร้างความสนุกสนานในกระบวนการเรียนรู้อีกด้วย
วิธีการฟังและพูดตามคืออะไร?
วิธีการฟังและพูดตาม (Listen and Repeat) เป็นเทคนิคการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ โดยผู้เรียนจะฟังประโยค คำศัพท์ หรือบทสนทนาที่ถูกต้อง จากนั้นพูดตามซ้ำหลายครั้งเพื่อช่วยในการจดจำและฝึกการออกเสียง วิธีนี้ช่วยสร้างทักษะการตอบสนองทางภาษาที่เป็นธรรมชาติ พัฒนาการออกเสียง จังหวะเสียง และทักษะการฟังให้ดีขึ้น
ตัวอย่างเช่น เมื่อเด็กเรียนรู้คำว่า “apple” (แอปเปิล) ครูหรือไฟล์เสียงจะออกเสียงคำนี้อย่างชัดเจนว่า “apple” เด็กจะตั้งใจฟังแล้วพูดตามซ้ำ ๆ จนออกเสียงได้ใกล้เคียงต้นฉบับมากที่สุด หลังจากนั้น เด็กสามารถฟังและพูดตามทั้งประโยค เช่น “I like apples” (ฉันชอบแอปเปิล) เพื่อฝึกทั้งการออกเสียงและการจดจำโครงสร้างประโยค วิธีการเรียนรู้แบบนี้คล้ายกับการที่เด็กเรียนรู้ภาษาแม่ คือฟังสิ่งที่พ่อแม่พูด เลียนแบบ แล้วพูดตามจนสามารถพูดได้อย่างคล่องแคล่ว
ข้อดีของการใช้วิธีฟังและพูดตามในการเรียนภาษาอังกฤษ
วิธีฟังและพูดตามไม่เพียงช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจภาษาอังกฤษได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ยังมีข้อดีที่ชัดเจนหลายประการ:
-
ออกเสียงได้ถูกต้องมากขึ้นจากการฟังและเลียนเสียงที่ถูกต้องและจังหวะเสียงธรรมชาติ
-
ตอบสนองในการสื่อสารได้รวดเร็วขึ้น เพราะสามารถจดจำคำศัพท์และโครงสร้างประโยคได้อย่างเป็นธรรมชาติ
-
พัฒนาทักษะการฟังจากการฟังเสียงภาษาอังกฤษมาตรฐานซ้ำ ๆ
-
เรียนรู้ภาษาอย่างเป็นธรรมชาติเหมือนกับภาษาแม่ โดยเฉพาะมีประสิทธิภาพมากกับเด็ก ๆ
-
สร้างความสนุกสนานในการเรียนรู้เมื่อผสมผสานกับเพลง นิทาน หรือเกม
วิธีการนำวิธีฟังและพูดตามไปใช้ในการเรียนภาษาอังกฤษ
วิธีฟังและพูดตามจะได้ผลดีที่สุดเมื่อใช้อย่างเป็นระบบและสม่ำเสมอ ผู้เรียนไม่เพียงแค่ฟังและเลียนแบบเท่านั้น แต่ยังควรใส่ใจในการเลือกสื่อการฟัง ความถี่ในการฝึกฝน และวิธีการผสมผสานการเรียนรู้ต่าง ๆ ต่อไปนี้คือคำแนะนำโดยละเอียด:
เลือกแหล่งเสียงที่ถูกต้องและเหมาะสม
การเลือกแหล่งเสียงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะมีผลโดยตรงต่อการออกเสียงและจังหวะเสียงของผู้เรียน สำหรับเด็ก ควรเลือกเพลงเด็ก นิทานสั้น หรือบทสนทนาง่าย ๆ ที่ใช้เสียงเจ้าของภาษา เช่น เพลง “Twinkle Twinkle Little Star” หรือ “Head, Shoulders, Knees and Toes” ที่ร้องตามได้ง่ายและช่วยฝึกการออกเสียง
ฟังอย่างตั้งใจก่อนพูดตาม
ก่อนจะให้เด็กหรือผู้เรียนพูดตาม ควรให้พวกเขาฟัง 1–2 รอบก่อน เพื่อทำความคุ้นเคยกับจังหวะการพูด การออกเสียง และการเชื่อมเสียง เช่น ในประโยค “I like apples” ผู้เรียนควรได้ยินเสียงท้าย /k/ ในคำว่า “like” และเสียง /s/ ในคำว่า “apples” เพื่อสามารถเลียนเสียงได้อย่างถูกต้อง
พูดตามเป็นวลีหรือกลุ่มคำสั้น ๆ
ไม่ควรเริ่มต้นด้วยประโยคยาว เพราะอาจทำให้เด็กสับสนหรือติดขัด ควรแบ่งประโยคเป็นกลุ่มคำเล็ก ๆ เช่น ประโยค “I want to play outside” อาจแบ่งเป็น “I want to” และ “play outside” แล้วค่อยรวมกันเป็นประโยคเต็ม
ฟัง – พูดตามซ้ำหลายครั้งจนคุ้นเคย
ให้พูดตาม 3 - 5 ครั้งหรือมากกว่านั้น จนออกเสียงได้ใกล้เคียงกับต้นแบบมากที่สุด สามารถใช้เกม “เลียนเสียง” เพื่อเพิ่มความสนุก เช่น คุณครูพูดว่า “Good morning!” ด้วยน้ำเสียงร่าเริง เด็กก็จะพยายามเลียนแบบทั้งจังหวะเสียงและอารมณ์ให้เหมือนที่สุด
ผสมผสานกับภาพหรือท่าทางประกอบ
เมื่อเรียนรู้คำว่า “jump” (กระโดด) คุณครูจะพูดคำนี้พร้อมกับทำท่ากระโดด เด็กจะฟัง พูดตามคำว่า “jump” และเลียนแบบท่าทาง วิธีนี้จะช่วยให้เด็กเชื่อมโยงคำศัพท์กับการกระทำ ทำให้จำได้นานยิ่งขึ้น
ฝึกฝนเป็นประจำทุกวัน
เพียงวันละ 10 - 15 นาทีในการฝึกฟังและพูดตาม เด็กก็สามารถพัฒนาการออกเสียง คำศัพท์ และปฏิกิริยาโต้ตอบทางภาษาดีขึ้นอย่างชัดเจนในเวลาไม่นาน ควรกำหนดช่วงเวลาให้แน่นอน เช่น ตอนเช้าหลังตื่นนอน หรือก่อนนอนในตอนเย็น
การใช้วิธีฟังและพูดตามอย่างมีประสิทธิภาพร่วมกับ Monkey Junior
Monkey Junior คือแอปพลิเคชันการเรียนภาษาอังกฤษระดับพรีเมียมสำหรับเด็กอายุ 0–11 ปี ที่มีหลักสูตรครบถ้วนเพื่อพัฒนาทักษะทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ ฟัง – พูด – อ่าน – เขียน แอปนี้ถูกออกแบบอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ โดยผสมผสานวิธีการเรียนรู้สำหรับเด็กเล็ก เช่น วิธี Glenn Doman การเรียนผ่านเกม การกระตุ้นประสาทสัมผัสหลายด้าน และเทคนิคการทบทวนแบบเว้นช่วง (spaced repetition) เพื่อวางรากฐานทางภาษาอย่างมั่นคงให้กับเด็ก ๆ
เมื่อใช้วิธีฟังและพูดตาม เด็กจะได้ยินการออกเสียงที่ถูกต้อง และพูดตามคำ วลี หรือประโยคสั้น ๆ หลายครั้ง ตามเส้นทางการเรียนรู้ที่ปรับให้เหมาะสมกับแต่ละคนโดยเฉพาะ
Monkey Junior ช่วยให้เนื้อหาการเรียนถูกทบทวนอย่างสม่ำเสมอ ในความถี่ที่พอเหมาะ เพื่อให้เด็กจำได้โดยไม่รู้สึกเบื่อ ตัวอย่างเช่น เด็กจะได้ยินคำว่า “dog” หลายครั้งในบริบทของภาพที่มีสีสันและมีชีวิตชีวา แล้วพูดตามเสียงตัวอย่าง วิธีนี้ช่วยให้เด็กสร้างปฏิกิริยาตอบสนองทางภาษาได้อย่างเป็นธรรมชาติ และพัฒนาการออกเสียงและจังหวะเสียงในแต่ละบทเรียนแบบโต้ตอบ
นอกจากนี้ ด้วยเทคโนโลยีอินเทอร์แอคทีฟขั้นสูง เช่น M Speak (ตรวจสอบการออกเสียงทีละเสียง), M Write และกิจกรรม Speaking Competition Monkey Junior ไม่เพียงช่วยให้เด็กฝึกฟังและพูดตามอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังให้ข้อเสนอแนะแบบทันทีและปรับตามรายบุคคล เพื่อให้เด็กพัฒนาอย่างต่อเนื่องในทุก ๆ วัน
ด้วย Monkey Junior เด็กจะได้เรียนรู้คำศัพท์ โครงสร้างประโยคในแต่ละวัน พร้อมภาพประกอบที่น่าสนใจ ฟัง – พูดตามอย่างถูกต้อง ซ้ำหลายครั้งตามแผนการเรียนรู้ที่ชัดเจน และได้รับการตอบกลับอัจฉริยะ ทั้งหมดนี้สร้างประสบการณ์เรียนภาษาอังกฤษที่เป็นธรรมชาติ สนุก และมีประสิทธิภาพสูงสำหรับเด็กอายุ 0–11 ปี.
ข้อควรระวังเมื่อใช้วิธีฟังและพูดตามในการเรียนภาษาอังกฤษ
แม้ว่าวิธีฟังและพูดตามจะมีประสิทธิภาพมาก แต่เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ดีที่สุด ผู้ปกครองและผู้เรียนควรใส่ใจในสิ่งต่อไปนี้:
-
เลือกแหล่งเสียงที่มีคุณภาพ: ควรเลือกเสียงเจ้าของภาษาที่ชัดเจน พูดด้วยความเร็วพอเหมาะ และเหมาะสมกับช่วงอายุของเด็ก
-
อย่าเรียนรู้มากเกินไปในครั้งเดียว: แต่ละบทเรียนควรเน้นเพียง 5–7 คำศัพท์ หรือ 1–2 ประโยคสั้น ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนหรือเหนื่อยล้า
-
ฟังก่อน – ค่อยพูดตาม: ให้เด็กได้ฟังอย่างน้อย 1–2 ครั้งก่อนพูดตาม เพื่อสร้างภาพจำของเสียงในสมอง
-
เน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ: พูดตามน้อยครั้งแต่ถูกต้อง จะดีกว่าพูดมากแต่ผิดบ่อย
-
ใช้ภาพหรือท่าทางประกอบ: ช่วยให้เด็กเข้าใจความหมายได้ง่ายขึ้นและจดจำคำศัพท์ได้นานขึ้น
-
ฝึกฝนเป็นประจำทุกวัน: เพียงวันละ 10–15 นาทีต่อเนื่อง จะได้ผลดีกว่าการเรียนครั้งละหลายชั่วโมงแบบไม่สม่ำเสมอ
-
สร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลาย: ให้กำลังใจและชมเชยเด็ก เพื่อให้พวกเขารู้สึกสนุกและมั่นใจในการฝึกพูดตาม
สรุป
วิธีฟังและพูดตามในการเรียนภาษาอังกฤษเป็นวิธีการเรียนรู้ที่เป็นธรรมชาติและมีประสิทธิภาพ ช่วยให้ผู้เรียนพัฒนาการออกเสียง เพิ่มความคล่องตัวในการสื่อสาร และจดจำคำศัพท์ได้ในระยะยาว หากนำไปใช้อย่างถูกวิธี โดยเฉพาะเมื่อผสมผสานกับเครื่องมือการเรียนรู้ที่ทันสมัย วิธีนี้จะให้ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมทั้งสำหรับเด็กและผู้เริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษ