10 วิธีสอนการออกเสียงภาษาอังกฤษสำหรับเด็กให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีเยี่ยม
เคล็ดลับการเรียนรู้ (TH)

10 วิธีสอนการออกเสียงภาษาอังกฤษสำหรับเด็กให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีเยี่ยม

การปรึกษาบทความ:

Hoàng Mỹ Hạnh

Hoàng Mỹ Hạnh

Thạc sĩ Ngôn ngữ - Chuyên gia Giáo dục sớm

ผู้เขียน: Hoàng Hà

วันที่อัปเดต: 24/07/2025

เนื้อหาหลัก

การสอนการออกเสียงภาษาอังกฤษให้กับเด็กตั้งแต่ช่วงปีแรก ๆ ของชีวิต มีบทบาทสำคัญในการวางรากฐานทางภาษาที่แข็งแกร่ง บทความด้านล่างนี้โดย Monkey จะนำเสนอวิธีการสอนการออกเสียงภาษาอังกฤษสำหรับเด็กที่มีประสิทธิภาพ ช่วยให้เด็กพัฒนาทักษะการฟังและการพูดอย่างเป็นธรรมชาติและถูกต้องแม่นยำ

ความสำคัญของการสอนการออกเสียงให้เด็กตั้งแต่เนิ่น ๆ

การสอนการออกเสียงภาษาอังกฤษให้เด็กตั้งแต่เนิ่น ๆ มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาทักษะการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพในอนาคต งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์หลายชิ้น รวมถึงงานวิจัยของ ดร. Patricia Kuhl (มหาวิทยาลัยวอชิงตัน) แสดงให้เห็นว่า เด็กอายุระหว่าง 0 ถึง 6 ปี มีความสามารถในการรับรู้และแยกแยะเสียงของภาษาได้ดีที่สุด ช่วงเวลานี้จึงถูกเรียกว่า "ช่วงทอง" สำหรับการเรียนรู้การออกเสียง

หากเด็กได้รับการฝึกฝนอย่างถูกวิธีในช่วงเวลานี้ พวกเขาจะสามารถเลียนเสียงที่ถูกต้องได้อย่างง่ายดาย สร้างนิสัยการออกเสียงที่แม่นยำ และมีความมั่นใจในการใช้ภาษาอังกฤษ ในทางกลับกัน หากเริ่มเรียนออกเสียงช้า เด็กจะปรับแก้ข้อผิดพลาดที่ฝังแน่นได้ยาก และต้องใช้เวลานานกว่าจะสามารถออกเสียงได้อย่างเป็นธรรมชาติ

ช่วยให้เด็กฟังและพูดภาษาอังกฤษได้ดีขึ้นด้วยการออกเสียงที่ถูกต้อง (ภาพ: รวบรวมจากอินเทอร์เน็ต)

วิธีสอนการออกเสียงภาษาอังกฤษสำหรับเด็กอย่างมีประสิทธิภาพ

การเลือกวิธีการสอนการออกเสียงภาษาอังกฤษที่เหมาะสมสำหรับเด็ก ไม่เพียงช่วยให้เด็กเรียนรู้ได้เร็วและออกเสียงได้อย่างถูกต้อง แต่ยังช่วยสร้างความสนุกสนานและความมั่นใจในการใช้ภาษาต่างประเทศอีกด้วย ด้านล่างนี้คือวิธีการที่ได้รับความนิยมและพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพในการฝึกออกเสียงให้กับเด็กเล็ก:

การสอนออกเสียงผ่านระบบโฟนิกส์ (Phonics)

Phonics เป็นวิธีการสอนการออกเสียงโดยอิงตามความสัมพันธ์ระหว่างเสียง (sounds) กับตัวอักษร (letters) เด็กจะเรียนรู้การจดจำเสียงของตัวอักษรแต่ละตัวและกลุ่มตัวอักษร ซึ่งช่วยให้สามารถสะกดคำและออกเสียงได้อย่างถูกต้อง
ตัวอย่างเช่น เมื่อเรียนรู้ตัวอักษร "c" เด็กจะเรียนรู้ว่าออกเสียงเป็น /k/ เช่นในคำว่า cat และเรียนรู้การแยกแยะจากตัว "s" ที่ออกเสียง /s/ เช่นในคำว่า sun
มีสื่อการเรียนรู้เกี่ยวกับ Phonics มากมาย เช่น Jolly Phonics หรือ Oxford Phonics World ที่ออกแบบมาอย่างมีชีวิตชีวา เหมาะกับเด็ก และช่วยให้เด็กได้เรียนรู้ผ่านการเล่นอย่างสนุกสนาน

การใช้ภาพและสิ่งของจริงประกอบการเรียน

เด็กจะเรียนรู้ได้ดีกว่าผ่านประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสและภาพ การใช้แฟลชการ์ด รูปภาพ หรือของจริงในการสอนการออกเสียง ช่วยให้เด็กเชื่อมโยงระหว่างภาพ เสียง และคำศัพท์ได้ดีขึ้น
ตัวอย่างเช่น เมื่อสอนคำว่า apple คุณสามารถแสดงผลแอปเปิ้ลจริง พร้อมกับออกเสียงคำว่า “apple” และกระตุ้นให้เด็กพูดตาม วิธีนี้ช่วยเพิ่มการจดจำและกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของเด็ก

สอนเด็กออกเสียงผ่านสถานการณ์จริงในชีวิตประจำวัน (ภาพ: รวบรวมจากอินเทอร์เน็ต)

ฝึกฟังและเลียนเสียงผ่านเพลงภาษาอังกฤษ

ดนตรีช่วยให้เด็กซึมซับภาษาได้ง่ายขึ้น เพราะมีทำนองและจังหวะที่จดจำง่าย เพลงเด็กภาษาอังกฤษ เช่น ABC Song, Old MacDonald, If You’re Happy... จะช่วยให้เด็กได้ฟังและเลียนแบบการออกเสียงในบริบทที่สนุกสนาน
เมื่อร้องเพลง เด็กจะได้ฝึกออกเสียงพยางค์ต่าง ๆ ในเนื้อเพลงอย่างเป็นธรรมชาติและไม่กดดัน คุณสามารถสอนให้เด็กทำท่าทางประกอบการร้องเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนรู้

การสอนการออกเสียงภาษาอังกฤษผ่านคู่เสียงที่มักสับสน

เสียงภาษาอังกฤษบางเสียงทำให้เด็กสับสนได้ง่าย โดยเฉพาะเสียงที่ไม่มีในภาษาแม่ เช่น เสียง /θ/ (เช่นในคำว่า think) กับ /s/ หรือ /ʃ/ (sh เช่นใน she) กับ /s/
ให้เด็กเรียนรู้เป็นคู่เสียง โดยเปรียบเทียบรูปปาก ตำแหน่งของลิ้น และฝึกพูดทีละเสียง ทีละคำ แล้วค่อยฝึกในประโยค วิธีนี้จะช่วยให้เด็กแยกแยะเสียงได้ชัดเจนและออกเสียงได้ถูกต้องตั้งแต่แรก

ผสมผสานการเรียนการออกเสียงกับเกม

เกมจะช่วยสร้างบรรยากาศสนุกสนาน ทำให้เด็กเรียนรู้โดยไม่รู้สึกเครียดหรือถูกบังคับ เกมสอนการออกเสียงที่ได้ผล เช่น:

  • หาของที่ออกเสียงคล้ายกัน

  • บิงโกเสียง

  • จับคู่เสียงกับภาพ

  • แข่งขันออกเสียงว่าถูกหรือผิด

เกมเหล่านี้สามารถใช้ได้ทั้งที่บ้านและในห้องเรียน ช่วยให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์และจดจำเนื้อหาได้นานยิ่งขึ้น

เรียนการออกเสียงกับลูกผ่านเกมแบบอินเทอร์แอคทีฟ (ภาพ: รวบรวมจากอินเทอร์เน็ต)

ฝึกออกเสียงผ่านวิดีโอการ์ตูน

ปัจจุบันมีช่อง YouTube และแอปพลิเคชันเรียนภาษาอังกฤษสำหรับเด็กที่น่าเชื่อถือมากมาย เช่น Super Simple Songs, Cocomelon, Kiboomu Kids Music, Lingokids, Monkey Junior เป็นต้น
แพลตฟอร์มเหล่านี้มีวิดีโอที่สนุกสนาน ตัวการ์ตูนที่น่ารัก และเสียงเจ้าของภาษาที่ถูกต้อง

ช่วยให้เด็กเรียนรู้การออกเสียงในบริบทจริง อย่างไรก็ตาม ผู้ปกครองควรควบคุมระยะเวลาในการรับชม และร่วมเรียนกับเด็กเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

ฝึกการออกเสียงด้วยวิธี “ฟังและพูดตาม” (Listen and Repeat)

นี่เป็นวิธีฝึกออกเสียงที่เรียบง่ายแต่ได้ผลดีมาก: ให้เด็กฟังคำหรือประโยคตัวอย่าง แล้วพูดตาม คุณควรเลือกเสียงสำเนียงอังกฤษแบบอเมริกันหรืออังกฤษแบบบริติชตามเป้าหมายของการเรียน

ในแต่ละวัน คุณสามารถเปิดให้เด็กฟังบทสนทนาสั้น ๆ แล้วกระตุ้นให้เด็กเลียนเสียงตามทั้งจังหวะ ความเร็ว และการออกเสียง วิธีนี้ช่วยฝึกทั้งทักษะการฟังและรูปปากในการพูดอย่างถูกต้อง

ใช้วิธี “ฟังแล้วพูดตาม” เป็นประจำทุกวัน (ภาพ: รวบรวมจากอินเทอร์เน็ต)

ใช้กระจกฝึกออกเสียง

ให้เด็กมองกระจกขณะออกเสียง เพื่อสังเกตรูปปาก ริมฝีปาก ลิ้น ฯลฯ ช่วยสร้างนิสัยการออกเสียงที่ถูกต้อง
คุณสามารถแสดงตัวอย่างก่อนให้เด็กเลียนแบบ เช่น เมื่อต้องออกเสียงเสียง /v/ ให้ชี้ให้เห็นว่าฟันแตะเบา ๆ ที่ริมฝีปากล่าง แล้วให้เด็กมองกระจกและทำตาม วิธีนี้เป็นวิธีที่ช่วยให้เด็กปรับการออกเสียงแต่ละเสียงได้อย่างชัดเจน

การสื่อสารภาษาอังกฤษง่าย ๆ ในชีวิตประจำวัน

การฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอคือกุญแจสำคัญในการออกเสียงได้คล่องแคล่ว คุณสามารถสร้างสถานการณ์ง่าย ๆ เช่น ถามเวลา นับเลข ถามเรื่องสี หรือถามชื่อของใช้ ให้เด็กตอบเป็นภาษาอังกฤษ
แม้จะเป็นประโยคสั้น ๆ เช่น What is this? – It’s a cat หากได้ทบทวนซ้ำในบรรยากาศที่เป็นมิตร จะช่วยให้เด็กพัฒนาทักษะการออกเสียงและตอบสนองได้อย่างเป็นธรรมชาติ

เรียนรู้การออกเสียงภาษาอังกฤษเหมือนเจ้าของภาษาด้วยแอปสุดยอด Monkey Junior

ในการช่วยให้เด็กออกเสียงภาษาอังกฤษได้อย่างถูกต้อง การเลือกแพลตฟอร์มการเรียนที่เหมาะสมมีความสำคัญอย่างมาก ในบรรดาวิธีการและแอปพลิเคชันมากมายในปัจจุบัน Monkey Junior เป็นแอปเรียนภาษาอังกฤษที่โดดเด่นสำหรับเด็กอายุ 0 ถึง 11 ปี ด้วยหลักสูตรที่เป็นระบบ เข้าใจง่าย และช่วยพัฒนาทักษะการออกเสียงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Monkey Junior ได้รับความไว้วางใจจากผู้ปกครองกว่า 15 ล้านคนในกว่า 100 ประเทศ แอปนี้ไม่เพียงช่วยให้เด็กคุ้นเคยกับภาษาอังกฤษตั้งแต่เนิ่นๆ แต่ยังสนับสนุนการพัฒนาทักษะทั้ง 4 ด้านอย่างครบถ้วน ได้แก่ การฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน ผ่านระบบบทเรียนที่เป็นวิทยาศาสตร์และน่าสนใจ

เส้นทางการเรียนรู้ชัดเจน เหมาะสมกับแต่ละช่วงวัย

  • เหมาะสำหรับเด็กอายุ 0 ถึง 11 ปี แบ่งเป็น 6 ระดับตั้งแต่พื้นฐานจนถึงขั้นสูง

  • เด็กเล็ก (0-3 ปี) เริ่มต้นทำความรู้จักกับเสียง ภาพ และคำศัพท์ง่าย ๆ

  • เด็กโตขึ้นเรียนรู้ตามหัวข้อจริง ฝึกทักษะการออกเสียง การตอบสนอง และการสร้างประโยค

  • ระบบบทเรียนออกแบบให้เด็กเรียนวันละ 10-15 นาที เรียนรู้ได้ง่ายและช่วยสร้างนิสัยเรียนรู้ระยะยาว

เรียนรู้การออกเสียงภาษาอังกฤษเหมือนเจ้าของภาษาด้วยแอปสุดยอด Monkey Junior (ภาพ: Monkey)

ทำไม Monkey Junior ช่วยให้เด็กออกเสียงเหมือนเจ้าของภาษา?

  • เน้นพัฒนาทักษะการออกเสียงที่ถูกต้องตั้งแต่แรก: เด็กได้รู้จักเสียงภาษาอังกฤษผ่าน Phonics และบทสนทนาตัวอย่างที่เป็นมาตรฐานเจ้าของภาษา

  • ใช้เทคโนโลยี M-Speak AI ขั้นสูง: ระบบบันทึกและตอบกลับการออกเสียงในแต่ละเสียง (phoneme) ช่วยให้เด็กรู้ว่าผิดตรงไหนและแก้ไขทันที

  • บทเรียนหลากหลายประสาทสัมผัสและน่าสนใจ: ภาพ วิดีโอ และเกมโต้ตอบช่วยให้เด็กเรียนรู้พร้อมเล่น จดจำคำศัพท์และการออกเสียงอย่างเป็นธรรมชาติ

  • พัฒนาทักษะการฟังและการตอบสนอง: ผ่านบทสนทนาสั้น ๆ และคำสั่งง่าย ๆ ช่วยให้เด็กฝึกฟังสำเนียงเจ้าของภาษาและตอบสนองได้ถูกต้องตามบริบท

  • เรียนได้ทุกที่ทุกเวลา: แอปอนุญาตให้ดาวน์โหลดบทเรียนเพื่อเรียนแบบออฟไลน์ สะดวกและเหมาะกับตารางเวลาของเด็ก

  • ผู้ปกครองติดตามความคืบหน้าได้ง่าย: ระบบรายงานละเอียดช่วยให้ผู้ปกครองทราบว่าเด็กเรียนถึงไหน ออกเสียงอย่างไร และต้องพัฒนาในจุดใด

เพื่อช่วยให้เด็กออกเสียงภาษาอังกฤษได้ถูกต้องและเป็นธรรมชาติตั้งแต่ต้น คุณสามารถเริ่มต้นได้เลยกับ Monkey Junior แอปมีนโยบายลงทะเบียนทดลองเรียนฟรี ช่วยให้ผู้ปกครองและเด็กได้ลองใช้ก่อนตัดสินใจ สมัครทดลองเรียนฟรีวันนี้ เพื่อวางรากฐานการออกเสียงที่มั่นคงให้เด็ก—ก้าวแรกที่สำคัญของการเรียนภาษาอังกฤษอย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาว

ข้อควรระวังบางประการเมื่อสอนการออกเสียงภาษาอังกฤษให้เด็กที่บ้าน

การสอนการออกเสียงภาษาอังกฤษให้เด็กที่บ้านมีข้อดีหลายประการ เช่น สภาพแวดล้อมที่ผ่อนคลาย ประหยัดค่าใช้จ่าย และมีความยืดหยุ่นด้านเวลา อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ ผู้ปกครองควรใส่ใจในประเด็นดังต่อไปนี้

  • เริ่มต้นจากเสียงพื้นฐานที่ง่ายต่อการจดจำ: ไม่ควรสอนเสียงที่ซับซ้อนเกินไปตั้งแต่แรก ให้เริ่มจากเสียงง่ายและเป็นที่รู้จัก เช่น สระ (a, e, i, o, u) หรือพยัญชนะต้นที่จำง่าย เช่น /b/, /p/, /m/, /d/ เพื่อไม่ให้เด็กรู้สึกสับสนเกินไป

  • ใช้แบบอย่างการออกเสียงที่ถูกต้อง – หลีกเลี่ยงการออกเสียงผิด: ผู้ปกครองควรใช้แหล่งออกเสียงที่น่าเชื่อถือ เช่น แอปเรียนภาษาอังกฤษที่ใช้เสียงเจ้าของภาษา หรือวิดีโอสอนออกเสียงจากช่องที่มีชื่อเสียง หากผู้ใหญ่พูดผิด เด็กจะเลียนแบบและกลายเป็นนิสัยที่แก้ไขยาก

  • ใจเย็นและไม่บังคับ: เด็กแต่ละคนมีอัตราการเรียนรู้ต่างกัน หลีกเลี่ยงการกดดันหรือเปรียบเทียบกับเพื่อน ให้สร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่เบาสบาย สนุกสนาน และส่งเสริมมากกว่าตำหนิ

  • ทบทวนซ้ำอย่างสม่ำเสมอทุกวัน: การออกเสียงต้องฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง การเรียนวันละ 10–15 นาทีเป็นประจำมีประสิทธิภาพกว่าการเรียนหลายชั่วโมงรวดเดียว การทบทวนช่วยให้เด็กจดจำการออกเสียงและตอบสนองได้เป็นธรรมชาติ

  • ผสมผสานรูปแบบการเรียนรู้หลากหลาย: เพื่อป้องกันความเบื่อหน่าย ควรรวมการเรียนออกเสียงผ่านบทเพลง เกม หนังสือเสียง วิดีโอการ์ตูน และแอปพลิเคชันโต้ตอบ เด็กจะเรียนรู้ได้ดีขึ้นผ่านภาพและเสียงที่มีชีวิตชีวา

  • ฝึกออกเสียงเป็นวลีและทำนองเสียง ไม่ใช่แค่คำเดี่ยว: หลังจากคุ้นเคยกับเสียงเดี่ยวแล้ว ให้เด็กฝึกออกเสียงในวลีหรือประโยคสั้น ๆ เพื่อฝึกทำนองและบริบท ซึ่งช่วยให้พูดได้อย่างเป็นธรรมชาติและยืดหยุ่นมากขึ้น

  • สร้างโอกาสให้เด็กพูดภาษาอังกฤษบ่อย ๆ: ใช้สถานการณ์ในชีวิตประจำวันกระตุ้นให้เด็กพูดภาษาอังกฤษ เช่น ถามสี นับเลข เรียกชื่อสิ่งของ สภาพแวดล้อมการสื่อสารจริงจะช่วยให้เด็กใช้การออกเสียงที่เรียนมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • ตรวจสอบและปรับปรุงอย่างสม่ำเสมอ: การอัดเสียงการออกเสียงของเด็ก ฟังซ้ำ และร่วมกันประเมินเป็นวิธีที่ดีในการแก้ไขข้อผิดพลาด หากเป็นไปได้ ผู้ปกครองควรเรียนรู้ไปพร้อมกับเด็กเพื่อช่วยสนับสนุนและแก้ไขทันเวลา

คุณพ่อคุณแม่ควรร่วมเดินทางไปกับลูกในการเรียนรู้การออกเสียง (ภาพ: รวบรวมจากอินเทอร์เน็ต)

บทสรุป

การสอนการออกเสียงภาษาอังกฤษให้เด็กอย่างถูกวิธีตั้งแต่เริ่มต้นจะช่วยให้เด็กพัฒนาทักษะภาษาอย่างครบถ้วนและมั่นใจในการสื่อสารในอนาคต หวังว่าวิธีการและข้อควรระวังที่กล่าวมาข้างต้นจะเป็นพื้นฐานที่เป็นประโยชน์ให้ผู้ปกครองได้ร่วมเดินทางไปกับบุตรหลานในการเรียนภาษาอังกฤษอย่างมีประสิทธิภาพ

ข้อมูลในบทความนี้ถูกรวบรวมขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการอ้างอิงเท่านั้น และอาจมีการเปลี่ยนแปลงโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า กรุณาตรวจสอบข้อมูลผ่านช่องทางอย่างเป็นทางการ หรือติดต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรงเพื่อรับทราบข้อมูลล่าสุด

บทความล่าสุด

ลงทะเบียนรับคำปรึกษา

และโปรโมชั่น Monkey Stories