วิธีโฟนิกส์เป็นหนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการสอนภาษาอังกฤษให้กับเด็กเล็ก ช่วยให้เด็กออกเสียงได้อย่างถูกต้องและพัฒนาทักษะการอ่านจับใจความตั้งแต่ขั้นเริ่มต้น แล้ววิธีโฟนิกส์คืออะไร และจะนำวิธีนี้มาใช้เพื่อช่วยให้เด็กเรียนภาษาอังกฤษได้อย่างมีประสิทธิภาพได้อย่างไร? มาค้นหาคำตอบไปกับ Monkey กันเลย
วิธีโฟนิกส์คืออะไร?
วิธีโฟนิกส์เป็นวิธีการสอนการอ่านภาษาอังกฤษโดยการช่วยให้เด็กเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างตัวอักษร (หรือตัวอักษรผสม) กับเสียงที่เกี่ยวข้อง แทนที่จะท่องจำคำศัพท์ทั้งคำ เด็กจะเรียนรู้วิธี "สะกด" และออกเสียงแต่ละคำจากเสียงของตัวอักษรที่ประกอบเป็นคำนั้น
ตัวอย่างเช่น: เมื่อเรียนรู้คำว่า "cat" เด็กจะเรียนรู้เสียง /k/ จากตัว "c", เสียง /æ/ จากตัว "a", และเสียง /t/ จากตัว "t" แล้วนำมารวมกันเป็นคำว่า "cat"
ประโยชน์ของการสอนโฟนิกส์ให้เด็กในภาษาอังกฤษ
วิธีโฟนิกส์ถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายในการเรียนภาษาอังกฤษ เพราะว่า:
-
โฟนิกส์ช่วยให้เด็กเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างตัวอักษรกับเสียง ช่วยให้ออกเสียงได้ถูกต้องทั้งเสียงเดี่ยวและคำ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการพูดภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว
-
เด็กสามารถ "สะกดเสียง" และอ่านคำใหม่ได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องท่องจำทั้งคำ เนื่องจากรู้วิธีการผสมเสียงตามกฎ
-
การเรียนโฟนิกส์ไม่เพียงแต่ช่วยในเรื่องการออกเสียงเท่านั้น แต่ยังช่วยฝึกฟังเสียง อ่านจับใจความ และเขียนสะกดคำได้ถูกต้อง ส่งเสริมพัฒนาทักษะภาษาอย่างรอบด้าน
-
เมื่อสามารถอ่านคำใหม่ได้ง่ายและออกเสียงได้ถูกต้อง เด็กจะรู้สึกสนุกและมั่นใจมากขึ้นในการสื่อสารภาษาอังกฤษ
-
เด็กที่เรียนโฟนิกส์ตั้งแต่เนิ่นๆ มักจะเข้าถึงภาษาอังกฤษได้อย่างเป็นธรรมชาติ และสามารถตามทันหลักสูตรภาษาอังกฤษขั้นสูงในอนาคตได้ง่ายขึ้น
คู่มือการเรียนภาษาอังกฤษอย่างมีประสิทธิภาพด้วยวิธีโฟนิกส์
เพื่อช่วยให้เด็กเรียนภาษาอังกฤษด้วยวิธีโฟนิกส์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ปกครองสามารถใช้วิธีดังต่อไปนี้:
ให้เด็กคุ้นเคยกับเสียงก่อนเรียนรู้ตัวอักษร
เมื่อเริ่มเรียนโฟนิกส์ สิ่งสำคัญไม่ใช่การสอนชื่อของตัวอักษร แต่คือการให้เด็กเข้าใจเสียงที่ตัวอักษรแต่ละตัวสร้างขึ้น
เช่น ตัว “A” ควรแนะนำด้วยเสียง /æ/ เหมือนในคำว่า “apple” แทนที่จะอ่านว่า “เอ” การเรียนรู้แบบนี้จะช่วยให้เด็กออกเสียงได้อย่างถูกต้อง และเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างเสียงกับตัวอักษร ผู้ปกครองสามารถใช้ภาพ เพลง หรือวิดีโอที่น่าสนใจ เพื่อช่วยให้เด็กจดจำเสียงได้อย่างสนุกสนานและเป็นธรรมชาติ
สอนให้เด็กผสมเสียงเพื่อสร้างคำ
หลังจากเด็กจำเสียงพื้นฐานได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการสอนให้ผสมเสียง (blending) เพื่ออ่านคำ
เช่น เมื่อเด็กเรียนรู้เสียง /c/, /a/, และ /t/ เด็กจะเรียนรู้การผสมเสียงเป็นคำว่า “cat” การผสมเสียงจะช่วยให้เด็กอ่านได้คล่อง โดยไม่ต้องท่องจำคำทั้งคำ
สอนให้เด็กแยกเสียงในคำออก (segmenting)
นอกจากการผสมเสียงแล้ว เด็กยังต้องเรียนรู้การแยกเสียงในคำ ซึ่งเป็นทักษะสำคัญในการสะกดคำและทำความเข้าใจเสียงในแต่ละคำ
เช่น เมื่อได้ยินคำว่า “dog” เด็กจะสามารถแยกเสียงออกเป็น /d/, /ɒ/, และ /g/ การฝึกแยกเสียงจะช่วยเพิ่มความมั่นใจในการเขียนและการออกเสียง
ฝึกอ่านด้วยหนังสือนิทานที่เหมาะกับระดับของเด็ก
เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านอย่างเป็นธรรมชาติ เด็กควรได้อ่านหนังสือนิทานที่ออกแบบตามระดับของโฟนิกส์
หนังสือเหล่านี้ใช้คำศัพท์ที่ตรงกับเสียงที่เด็กกำลังเรียน ทำให้เด็กฝึกอ่านเสียงได้ถูกต้อง เข้าใจคำศัพท์ และพัฒนาทักษะการอ่านจับใจความ ผู้ปกครองควรอ่านหนังสือร่วมกับลูกทุกวัน สนับสนุนให้เด็กอ่านออกเสียง พูดชัดเจน และสนุกกับเนื้อเรื่อง
เปลี่ยนการเรียนโฟนิกส์ให้เป็นเกมสนุก
เด็กเรียนรู้ได้ดีที่สุดเมื่อได้เล่นและมีปฏิสัมพันธ์ ดังนั้น แทนที่จะเรียนแบบเคร่งเครียด ผู้ปกครองควรใช้เกมในการสอนโฟนิกส์ เช่น เกมจับคู่คำ การแข่งออกเสียง หรือเกมทายคำจากเสียง
กิจกรรมเหล่านี้ไม่เพียงแต่สร้างความสนุก แต่ยังช่วยให้เด็กจำได้นาน พัฒนาการตอบสนอง และมีความมั่นใจในการเรียนภาษาอังกฤษ
รักษานิสัยการทบทวนอย่างสม่ำเสมอ
โฟนิกส์เป็นวิธีการเรียนที่ต้องอาศัยการทบทวนซ้ำเพื่อให้จำได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากไม่ได้ฝึกซ้ำ เด็กจะลืมเสียงที่เรียนไป
ดังนั้นผู้ปกครองควรรักษาตารางเรียนที่สม่ำเสมอ โดยรวมทั้งการเรียนเสียงใหม่และการทบทวนเสียงเก่า เพื่อให้เด็กมีพื้นฐานที่มั่นคง และพัฒนาทักษะการอ่านเขียนภาษาอังกฤษอย่างต่อเนื่อง
เพิ่มประสิทธิภาพการเรียนภาษาอังกฤษด้วยโฟนิกส์ผ่าน Monkey Junior
ปัจจุบันผู้ปกครองจำนวนมากเลือกใช้วิธีโฟนิกส์เพื่อช่วยให้ลูกเรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่เล็ก เนื่องจากเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพและเข้าถึงง่าย อย่างไรก็ตาม การสอนโฟนิกส์ให้ถูกวิธีที่บ้านอาจไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไป นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ Monkey Junior แอปเรียนภาษาอังกฤษสำหรับเด็กอายุ 0–11 ปี กลายเป็นเครื่องมือช่วยเหลือที่ยอดเยี่ยมสำหรับหลายครอบครัว
Monkey Junior คืออะไร?
Monkey Junior เป็นแอปเรียนภาษาอังกฤษสำหรับเด็กที่โดดเด่น ถูกออกแบบมาเฉพาะสำหรับเด็กตั้งแต่ทารกจนถึงอายุ 11 ปี โดยมีหลักสูตรภาษาอังกฤษที่ครอบคลุม ช่วยให้เด็กพัฒนาทักษะทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ ฟัง พูด อ่าน เขียน ได้อย่างเป็นธรรมชาติ เหมือนกับการเรียนรู้ภาษาแม่
เนื้อหาการเรียนถูกแบ่งเป็นระดับต่างๆ ตามอายุและความสามารถของแต่ละคน อินเทอร์เฟซน่าสนใจ ใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย และมีแบบฝึกหัดที่โต้ตอบได้ ช่วยให้เด็กเรียนรู้เร็ว จดจำได้นาน และสนุกกับการเรียนรู้
Monkey Junior ใช้วิธีโฟนิกส์อย่างไร?
หนึ่งในจุดเด่นของ Monkey Junior คือการใช้วิธี Synthetic Phonics ซึ่งเป็นวิธีการสอนการออกเสียงและสะกดคำที่ได้รับความนิยมในหลายประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก
แทนที่จะให้เด็กท่องจำทั้งคำ วิธีโฟนิกส์จะสอนให้เด็กเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างตัวอักษรและเสียง
เช่น คำว่า “cat” จะถูกแบ่งออกเป็นเสียง /c/ – /a/ – /t/ แล้วเด็กจะเรียนรู้วิธีผสมเสียงเหล่านี้ให้เป็นคำว่า “cat”
Monkey Junior วางแผนการสอนโฟนิกส์อย่างเป็นลำดับ เริ่มจากการเรียนรู้เสียงพื้นฐาน (phoneme) จากนั้นฝึกผสมเสียงเป็นคำ ฝึกอ่านออกเสียง และฝึกเขียนและใช้คำในประโยค
ผลลัพธ์คือ เด็กไม่เพียงออกเสียงได้ถูกต้อง แต่ยังสามารถอ่านคำใหม่ได้ด้วยตัวเองและมั่นใจมากขึ้นในการสื่อสารภาษาอังกฤษ
ทำไมควรให้ลูกเรียนโฟนิกส์กับ Monkey Junior?
-
สอนอย่างเป็นระบบ เข้าใจง่าย: โฟนิกส์ถูกสอนเป็นขั้นตอนจากง่ายไปยาก
-
เพิ่มความจำและการตอบสนองต่อคำศัพท์: เด็กเรียนรู้เสียง การสะกด และฝึกใช้จริงในแต่ละบทเรียน
-
ออกเสียงได้ถูกต้องตั้งแต่เล็ก: ด้วยเทคโนโลยีจดจำเสียง เด็กจะได้รับการแก้ไขการออกเสียงทันที
-
สะดวก เรียนได้ทุกที่ทุกเวลา: เด็กสามารถเรียนผ่านมือถือ แท็บเล็ต หรือแล็ปท็อป ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีต่อวัน
หากคุณกำลังมองหาวิธีเรียนภาษาอังกฤษที่มีประสิทธิภาพและเป็นมิตรกับเด็ก Monkey Junior คือทางเลือกที่เหมาะสมในการร่วมเดินทางกับลูกน้อยบนเส้นทางการเรียนรู้ภาษา. สมัครเรียนฟรีวันนี้ พร้อมรับสิทธิพิเศษมากมาย!
สรุป
วิธีโฟนิกส์เป็นหนึ่งในวิธีการเรียนภาษาอังกฤษที่มีประสิทธิภาพ ช่วยให้เด็กคุ้นเคยกับเสียงและออกเสียงได้อย่างถูกต้องตั้งแต่เริ่มต้น เมื่อใช้ร่วมกับแอปอย่าง Monkey Junior เด็กจะสามารถพัฒนาทักษะทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ ฟัง พูด อ่าน เขียน ได้อย่างเป็นธรรมชาติและยั่งยืน ขออวยพรให้คุณพ่อคุณแม่และเด็กๆ ประสบความสำเร็จในการเรียนรู้!