คำนามในภาษาอังกฤษคืออะไร? การจำแนกประเภทและวิธีใช้โดยละเอียด
เคล็ดลับการเรียนรู้ (TH)

คำนามในภาษาอังกฤษคืออะไร? การจำแนกประเภทและวิธีใช้โดยละเอียด

การปรึกษาบทความ:

Hoàng Mỹ Hạnh

Hoàng Mỹ Hạnh

Thạc sĩ Ngôn ngữ - Chuyên gia Giáo dục sớm

ผู้เขียน: Hoàng Hà

วันที่อัปเดต: 18/09/2025

เนื้อหาหลัก

คำนามเป็นหนึ่งในส่วนไวยากรณ์ที่สำคัญที่สุดในภาษาอังกฤษ หลายคนพยายามเรียนรู้ความรู้ขั้นสูงและมองข้ามส่วนของคำนาม ซึ่งเป็นพื้นฐานความรู้สำคัญที่จะช่วยให้คุณพิชิตภาษาอังกฤษได้ง่ายขึ้น หากคุณกำลังมองหาความรู้เกี่ยวกับคำนามในภาษาอังกฤษแบบครบถ้วนตั้งแต่ต้นจนจบ อย่าพลาดบทความวันนี้จาก Monkey ที่รวบรวมทุกอย่างเกี่ยวกับคำนามในภาษาอังกฤษไว้ให้คุณแล้ว!

คำนามในภาษาอังกฤษคืออะไร?

คำนาม (Noun, ย่อว่า “N”) คือคำที่ทำหน้าที่เป็นประธานหรือกรรมในประโยค ใช้เพื่อบอกถึงคน สิ่งของ หรือปรากฏการณ์ที่เฉพาะเจาะจงหนึ่งหรือหลายอย่าง

ตามหลังคำนามจะมีคำกริยาทั่วไปหรือคำกริยา to be เป็นสองประเภทหลัก

ตัวอย่าง: The phone is new (โทรศัพท์เครื่องนี้ใหม่)

คำนามมักใช้เพื่อบอกถึงคน สิ่งของ หรือปรากฏการณ์หนึ่งหรือหลายอย่าง (ภาพ: อินเทอร์เน็ต)

ประเภทของคำนามที่นิยมใช้ในภาษาอังกฤษ

คำนามในภาษาอังกฤษมีความหลากหลายและแบ่งออกเป็นหลายกลุ่มตามลักษณะหน้าที่และความหมาย ด้านล่างนี้คือสองวิธีการแบ่งประเภทที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย: ตามความหมายการใช้งานในชีวิตจริง และตามลักษณะทางไวยากรณ์

การแบ่งประเภทตามความหมายการใช้งาน

ประเภทคำนาม

คำอธิบาย

ตัวอย่าง

คำนามที่ใช้เรียกคน

ใช้เรียกคน อาชีพ ความสัมพันธ์ต่างๆ

Mother (แม่), Brother (พี่ชาย), Worker (คนงาน)

คำนามที่ใช้เรียกสิ่งของ/สัตว์

ใช้เรียกสิ่งของหรือสิ่งมีชีวิต

Ball (ลูกบอล), Paper (กระดาษ), Dog (สุนัข)

คำนามที่ใช้เรียกสถานที่

ใช้เรียกสถานที่หรือตำแหน่งที่ชัดเจน

Hall (หอประชุม), Hospital (โรงพยาบาล), Company (บริษัท)

คำนามที่ใช้เรียกปรากฏการณ์

ใช้เรียกเหตุการณ์หรือปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ/สังคม

Rain (ฝน), Storm (พายุ), War (สงคราม)

การแบ่งประเภทนี้ช่วยให้ผู้เรียนเห็นภาพได้ง่ายขึ้นเมื่อต้องเริ่มทำความรู้จักกับคำนาม โดยอิงจากสิ่งที่คำนามแทนในชีวิตประจำวัน

การแบ่งประเภทตามลักษณะทางไวยากรณ์

การแบ่งประเภทนี้มักพบในตำราและข้อสอบภาษาอังกฤษ ช่วยให้เข้าใจลักษณะของคำนามแต่ละประเภทอย่างลึกซึ้งขึ้น

ประเภทคำนาม

คำอธิบาย

ตัวอย่าง

Proper nouns (คำนามเฉพาะ)

ใช้เรียกชื่อเฉพาะของคน สถานที่ องค์กร หรือสิ่งของที่เฉพาะเจาะจง

Paris, Gordon Ramsay, Eiffel Tower

Common nouns (คำนามสามัญ)

ใช้เรียกชื่อทั่วไปของคน สิ่งของ หรือเหตุการณ์ที่ไม่เฉพาะเจาะจง

Computer, food, vehicle

Abstract nouns (คำนามนามธรรม)

แสดงถึงแนวคิด ความรู้สึก หรือสภาวะที่ไม่สามารถมองเห็นหรือสัมผัสได้

Knowledge (ความรู้), Love (ความรัก), Sympathy (ความเห็นอกเห็นใจ)

Collective nouns (คำนามนามรวม)

ใช้เรียกกลุ่มหรือชุดของคนหรือสิ่งของที่ถือเป็นหน่วยเดียว

Class (ชั้นเรียน), Group (กลุ่ม), Team (ทีม)

Compound nouns (คำนามประกอบ)

เป็นคำนามที่สร้างจากคำสองคำขึ้นไปรวมกัน

Motorcycle (มอเตอร์ไซค์), Bedroom (ห้องนอน)

บทบาทของคำนามในประโยคภาษาอังกฤษ

คำนามในภาษาอังกฤษมีหน้าที่หลายอย่าง และมีส่วนสำคัญในการสร้างโครงสร้างประโยคที่สมบูรณ์ ด้านล่างนี้คือหน้าที่หลักและตำแหน่งสำคัญของคำนามที่คุณควรรู้

คำนามในภาษาอังกฤษมีหลายประเภท (ภาพ: อินเทอร์เน็ต)

คำนามในภาษาอังกฤษทำหน้าที่เป็นประธาน (Subject)

คำนามหรือตัววลีคำนามจะอยู่หน้ากริยาหลัก เพื่อระบุบุคคลหรือสิ่งที่กระทำการ

ตัวอย่าง: The teacher explains the lesson clearly. (ครูอธิบายบทเรียนอย่างชัดเจน)

ในประโยคนี้ “The teacher” คือคำนามที่ทำหน้าที่เป็นประธาน ซึ่งเป็นผู้กระทำกริยา “explains”

คำนามในภาษาอังกฤษทำหน้าที่เป็นกรรมตรง (Direct Object)

คำนามที่ทำหน้าที่เป็นกรรมตรง คือส่วนที่ได้รับผลกระทบจากกริยาหลัก

ตัวอย่าง: I lost my keys. (ฉันทำกุญแจหาย)

ที่นี่ “my keys” คือกรรมตรงของกริยา “lost”

คำนามในภาษาอังกฤษทำหน้าที่เป็นกรรมรอง (Indirect Object)

คำนามที่ทำหน้าที่เป็นกรรมรอง คือบุคคลหรือสิ่งที่ได้รับประโยชน์จากการกระทำ

ตัวอย่าง: She gave her brother a gift. (เธอให้ของขวัญแก่พี่ชายของเธอ)

ในประโยคนี้ “her brother” คือผู้รับของขวัญ ทำหน้าที่เป็นกรรมรอง

คำนามในภาษาอังกฤษทำหน้าที่เป็นกรรมของบุพบท (Object of Preposition)

คำนามที่อยู่หลังบุพบทจะสร้างวลีบุพบทเพื่อขยายความหมายของประโยค

ตัวอย่าง: We waited for the bus. (พวกเรารอรถบัส)

“the bus” คือกรรมของบุพบท “for”

คำนามในภาษาอังกฤษทำหน้าที่เป็นส่วนเติมเต็มประธาน (Subject Complement)

คำนามที่ทำหน้าที่เป็นส่วนเติมเต็มประธานจะตามหลังกริยาสัมพันธ์เพื่ออธิบายหรือระบุประธานให้ชัดเจนขึ้น

ตัวอย่าง: My uncle is a doctor. (ลุงของฉันเป็นหมอ)

ที่นี่ “a doctor” เป็นคำนามที่เติมเต็มและอธิบายประธาน “my uncle”

คำนามในภาษาอังกฤษทำหน้าที่เป็นส่วนเติมเต็มกรรม (Object Complement)

คำนามที่ทำหน้าที่เป็นส่วนเติมเต็มกรรมจะช่วยระบุหรือบรรยายกรรมให้ชัดเจนขึ้น

ตัวอย่าง: They elected Sarah president. (พวกเขาเลือกซาราห์เป็นประธาน)

“president” เป็นคำนามที่เติมเต็มกรรม “Sarah” ระบุว่าซาราห์ได้รับเลือกเป็นตำแหน่งใด

คำนามในภาษาอังกฤษทำหน้าที่เป็นคำอธิบายเพิ่มเติม (Appositive)

คำนามที่ทำหน้าที่เป็นคำอธิบายเพิ่มเติมจะอยู่ข้างคำนามอีกคำหนึ่งเพื่ออธิบายหรือให้ข้อมูลเพิ่ม

ตัวอย่าง: My friend, Jenny is a designer. (เพื่อนของฉัน เจนนี่ เป็นนักออกแบบ)

“Jenny” คือคำอธิบายเพิ่มเติมที่ช่วยชี้แจงคำนาม “my friend”

คำนามในภาษาอังกฤษทำหน้าที่เป็นคำขยายนามอื่น (Attributive Noun)

คำนามสามารถขยายนามอื่นในโครงสร้าง “noun + noun” คล้ายกับคำคุณศัพท์

ตัวอย่าง: We booked a hotel room. (เราจองห้องพักโรงแรม)

“hotel” ขยายนาม “room” กลายเป็นวลีคำนาม “hotel room”

ตำแหน่งของคำนามในประโยค

คำนามในภาษาอังกฤษสามารถปรากฏในตำแหน่งต่าง ๆ ภายในประโยค แต่ละตำแหน่งมีหน้าที่เฉพาะเจาะจง ด้านล่างนี้เป็น 6 ตำแหน่งที่พบบ่อย พร้อมตัวอย่างสองภาษาให้เข้าใจง่าย:

อยู่หลังคำสรรพนามแสดงความเป็นเจ้าของ (Possessive Adjectives)

คำนามมักตามหลังคำสรรพนามแสดงความเป็นเจ้าของ เช่น My, your, her และอาจมีคำคุณศัพท์เสริมความหมาย

ตัวอย่าง: Last year, her birthday party was so much fun. (งานเลี้ยงวันเกิดของเธอเมื่อปีที่แล้วสนุกมา)

อยู่หลังคำบอกปริมาณ (Quantifiers)

คำนามมักตามหลังคำบอกปริมาณ เช่น Many, much, a few, some, any

ตัวอย่าง: They planted many trees. (พวกเขาปลูกต้นไม้จำนวนมาก)

อยู่หลังบุพบท (Prepositions)

คำนามสามารถอยู่หลังบุพบท เช่น in, on, at ซึ่งในกรณีนี้คำนามจะทำหน้าที่เป็นกรรมของบุพบท เพื่อให้ข้อมูลเสริมบริบท

ตัวอย่าง: The cat is climbing on the tree. (แมวกำลังปีนต้นไม้)

อยู่หลังคำชี้เฉพาะ (Demonstratives)

คำนามอยู่หลังคำชี้เฉพาะ เช่น these, this, those, that และอาจมีคำคุณศัพท์เสริมความหมาย

ตัวอย่าง: This bed is so large. (เตียงนี้ใหญ่เกินไป)

อยู่หลังบทนำหน่วยนาม (Articles)

คำนามมักอยู่หลังบทนำหน่วยนาม เช่น a, an, the และอาจมีคำคุณศัพท์เสริมความหมาย

ตัวอย่าง: He bought a red car. (เขาซื้อรถสีแดงคันหนึ่ง)

อยู่ต้นประโยคทำหน้าที่ประธาน (Subject)

คำนามหรือตัววลีคำนามสามารถอยู่ต้นประโยคเพื่อทำหน้าที่เป็นประธานถือเป็นตำแหน่งสำคัญที่สุดของคำนามในประโยค

ตัวอย่าง: Books can open up new worlds for children. (หนังสือสามารถเปิดโลกใหม่ให้กับเด็ก ๆ)

การจำแนกประเภทและวิธีการระบุคำนามในภาษาอังกฤษ

การเข้าใจวิธีการจำแนกประเภทและการระบุคำนามในภาษาอังกฤษเป็นพื้นฐานสำคัญในการเขียนและพูดให้ถูกต้อง
ไม่ว่าคุณจะเริ่มต้นเรียนหรือกำลังเตรียมสอบ IELTS, TOEIC, TOEFL การเข้าใจคำนามและสัญญาณที่บ่งบอกคำนามจะช่วยพัฒนาทักษะทางภาษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้านล่างนี้คือประเภทคำนามที่พบได้บ่อยในภาษาอังกฤษ ซึ่งคุณควรจำให้แม่นเพื่อนำไปใช้ในการสื่อสารและการเขียนเชิงวิชาการ:

เข้าใจลักษณะของคำนามแต่ละประเภทเพื่อใช้ประโยคได้อย่างถูกต้อง (ภาพ: อินเตอร์เน็ต)

คำนามนับได้และคำนามนับไม่ได้

คำนามในภาษาอังกฤษแบ่งออกเป็นสองกลุ่มหลัก คือคำนามนับได้ (countable nouns) และคำนามนับไม่ได้ (uncountable nouns) ดังนี้:

ประเภท

วิธีการระบุ

ตัวอย่าง

คำนามนับได้

คำนามที่สามารถนับจำนวนได้

One finger (นิ้วหนึ่ง), Two apples (แอปเปิลสองลูก)

คำนามนับไม่ได้

คำนามที่ไม่สามารถนับจำนวนได้

Money (เงิน), Rain (ฝน), Milk (นม)

คำนามเอกพจน์และคำนามพหูพจน์

หนึ่งในขั้นตอนสำคัญเมื่อเรียนรู้คำนามในภาษาอังกฤษคือการแยกแยะระหว่างคำนามเอกพจน์ (singular nouns) และคำนามพหูพจน์ (plural nouns) การแปลงระหว่างทั้งสองรูปแบบนี้ไม่เพียงช่วยให้ประโยคถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ แต่ยังส่งผลต่อการแบ่งกริยา การใช้บทนำหน่วยนามและคำปริมาณที่ตามมา

ประเภท

วิธีการระบุ

ตัวอย่าง

คำนามเอกพจน์

คำนามที่ไม่มี “s”

A pen (ปากกาอันหนึ่ง), A book (หนังสือเล่มหนึ่ง)

คำนามพหูพจน์

คำนามที่มี “s” หรือ “es”

Cats (แมวหลายตัว), Fishes (ปลาหลายชนิด)

แม้ว่ากฎทั่วไปจะเป็นการเพิ่ม “s” หรือ “es” ที่ท้ายคำ แต่ภาษาอังกฤษยังมีกรณีพิเศษที่ต้องจดจำ นี่คือ 6 กฎที่พบบ่อยที่สุดในการเปลี่ยนคำนามจากเอกพจน์ไปพหูพจน์:

เพิ่ม “s” - กฎทั่วไปที่สุด

คำนามส่วนใหญ่ในภาษาอังกฤษจะเปลี่ยนเป็นพหูพจน์โดยการเพิ่ม “s” ที่ท้ายคำ

ตัวอย่าง:

  • book → books (หนังสือเล่ม),

  • pen → pens (ปากกา),

  • table → tables (โต๊ะ)

ข้อยกเว้น:

คำนามที่ลงท้ายด้วย “th” หรือ “ph” จะเพิ่ม “s” เหมือนปกติ:

bath → baths, trophy → trophies

คำนามที่ลงท้ายด้วย “o” จะเพิ่ม “s”:

radio → radios, video → videos

แต่บางคำที่ลงท้ายด้วย “o” จะเพิ่ม “es”:

echo → echoes, torpedo → torpedoes, hero → heroes

คำนามที่ลงท้ายด้วย “f” หรือ “fe” จะเพิ่ม “s”:

roof → roofs, safe → safes

แต่บางคำจะเปลี่ยน “f/fe” เป็น “ves”:

calf → calves, wife → wives

เพิ่ม “es” - เมื่อคำนามลงท้ายด้วย s, x, z, sh, ch

เมื่อคำนามลงท้ายด้วยเสียงกระซิบ จะต้องเพิ่ม “es” เพื่อให้อ่านออกเสียงได้ง่ายขึ้น

ตัวอย่าง:

  • glass → glasses (แก้ว),

  • fox → foxes (สุนัขจิ้งจอก),

  • quiz → quizzes (แบบทดสอบ),

  • brush → brushes (แปรง),

  • beach → beaches (ชายหาด)

ข้อยกเว้น:

  • คำนามที่ลงท้ายด้วย “is” จะเปลี่ยนเป็น “es”:

  • thesis → theses, analysis → analyses

เปลี่ยน “y” เป็น “ies”

หากคำนามลงท้ายด้วย “y” หลังพยัญชนะ ให้เปลี่ยน “y” เป็น “ies” เมื่อเปลี่ยนเป็นพหูพจน์

ตัวอย่าง:

  • puppy → puppies (ลูกสุนัข),

  • story → stories (เรื่องราว),

  • country → countries (ประเทศ)

ข้อยกเว้น:

  • ถ้าก่อน “y” เป็นสระ ให้เพิ่ม “s” เช่นเดิม:

  • day → days, journey → journeys

เปลี่ยน “us” เป็น “i”

บางคำนามที่มาจากภาษาละตินที่ลงท้ายด้วย “us” จะเปลี่ยนเป็น “i” เมื่อเป็นพหูพจน์

ตัวอย่าง:

  • alumnus → alumni (ศิษย์เก่าชาย),

  • radius → radii (รัศมี),

  • nucleus → nuclei (นิวเคลียส)

ไม่เปลี่ยนรูป - Singular = Plural

บางคำนามยังคงรูปเดิมทั้งในเอกพจน์และพหูพจน์

ตัวอย่าง:

  • aircraft → aircraft (เครื่องบิน),

  • moose → moose (กวางมูส),

  • salmon → salmon (ปลาแซลมอน),

  • series → series (ชุด, ลำดับ)

บางคำนามจะใช้ในรูปพหูพจน์เสมอ แม้ว่าจะหมายถึงสิ่งเดียว:

  • trousers (กางเกง), binoculars (กล้องส่องทางไกล), goggles (แว่นตากันฝุ่น), pliers (คีม)

  • บางคำนามไม่มีรูปพหูพจน์เนื่องจากมีความหมายเชิงนามธรรม หรือไม่สามารถนับได้:

  • happiness (ความสุข), furniture (เฟอร์นิเจอร์), information (ข้อมูล), traffic (การจราจร)

คำนามที่ไม่เป็นไปตามกฎ – ควรจำ

บางคำนามมีรูปพหูพจน์ที่แตกต่างออกไปและไม่เป็นไปตามกฎ

ตัวอย่าง:

  • goose → geese (ห่าน),

  • ox → oxen (วัว),

  • person → people (คน),

  • louse → lice (เห็บ),

  • index → indices (ดัชนี),

  • curriculum → curricula (หลักสูตร),

  • appendix → appendices (ภาคผนวก)

คำนามเดี่ยว (Simple Nouns) และคำนามผสม (Compound Nouns)

ในระบบคำนามภาษาอังกฤษ มีสองประเภทที่พบได้บ่อย คือ คำนามเดี่ยว (Simple Nouns) และคำนามผสม (Compound Nouns)

การแยกแยะระหว่างทั้งสองประเภทนี้จะช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจวิธีการสร้างและใช้วลีคำนามได้อย่างถูกต้องในการสื่อสารและการเขียนทางวิชาการ

ประเภทคำนาม

วิธีการระบุ

ตัวอย่าง

คำนามเดี่ยว (Simple Nouns)

ประกอบด้วยคำเดียว

Banana (กล้วย), Mango (มะม่วง), Arm (แขน)

คำนามผสม (Compound Nouns)

ประกอบด้วยสองคำที่รวมกันมีความหมายร่วมกัน

Toothbrush (แปรงสีฟัน), Butterfly (ผีเสื้อ), Friendship (มิตรภาพ)

วลีคำนามในภาษาอังกฤษ (Noun Phrases)

วลีคำนามในภาษาอังกฤษคือการรวมกันของคำนามกับคำประเภทอื่น ๆ เพื่อสร้างความหมายใหม่ โดยมีหน้าที่เป็นประธาน กริยาส่วนเติมเต็ม หรือกรรมของประโยค

ตัวอย่าง:

  • A smart boy (เด็กชายที่ฉลาด)

  • Two joyful kids (เด็กสองคนที่มีความสุข)

  • A handful of salt (เกลือหนึ่งหยิบมือ)

  • I’m talking to a cute girl. (ฉันกำลังคุยกับผู้หญิงน่ารักคนหนึ่ง)

Gerunds (คำนามที่ได้จากคำกริยา)

Gerund คือรูปของคำกริยาที่เติม -ing แล้วทำหน้าที่เป็นคำนาม สามารถเป็นประธาน กรรม หรือส่วนเติมเต็มในประโยคได้

โครงสร้าง: Gerund = Verb + ING

Gerund เป็นประธานของประโยค:

Doing exercise daily will make you more happy. (การออกกำลังกายทุกวันจะทำให้คุณมีความสุขมากขึ้น)

Gerund เป็นกรรมของประโยค:

I enjoy listening to music. (ฉันชอบฟังเพลง)

Gerund เป็นส่วนเติมเต็มของประโยค:

Her hobby is collecting coins. (งานอดิเรกของเธอคือการสะสมเหรียญ)

คำนามทั่วไป (Common Nouns) และคำนามเฉพาะ (Proper Nouns)

คำนามทั่วไป (Common Nouns)

คือคำนามที่ใช้เรียกสิ่งของหรือบุคคลทั่วไป

ตัวอย่าง: student (นักเรียน), phone (โทรศัพท์), towel (ผ้าขนหนู), laptop (แล็ปท็อป)

คำนามเฉพาะ (Proper Nouns)

คือคำนามที่ใช้เรียกชื่อเฉพาะของบุคคล สถานที่ สิ่งของ ฯลฯ

ตัวอย่าง: Mr. Brandon (มิสเตอร์แบรนดอน), Hawaii (ฮาวาย), China (ประเทศจีน)

คำนามแสดงความเป็นเจ้าของ (Possessive Nouns)

คือคำนามที่ใช้แสดงความเป็นเจ้าของของบุคคลหรือสิ่งของ

โครงสร้าง: เจ้าของ + ‘s + สิ่งที่ถูกเป็นเจ้าของ

ตัวอย่าง:

  • My mom’s car (รถของแม่ฉัน)

  • Jane’s birthday party (งานวันเกิดของเจน)

  • Mai’s pizza (พิซซ่าของไหม)

กรณีพิเศษ:

ชื่อเฉพาะลงท้ายด้วย “s” – ใช้ได้ทั้ง ‘s หรือ ‘ อย่างเดียว

James’s car หรือ James’ car (รถของเจมส์)

คำนามเอกพจน์/พหูพจน์ที่ไม่มี “s”

Her children’s toys are all new. (ของเล่นของลูก ๆ เธอทั้งหมดใหม่)

คำนามพหูพจน์ที่ลงท้ายด้วย “s” – เพิ่ม ‘ เท่านั้น

Some students’ grades are better this year. (เกรดของนักเรียนบางคนปีนี้ดีกว่าเดิม)

คำนามประสม – เติม ’s ที่คำนามสุดท้าย

The bus stop near my house (ป้ายรถเมล์ใกล้บ้านฉัน)

คำนามรูปธรรม (Concrete Nouns) และคำนามนามธรรม (Abstract Nouns)

การจำแนกคำนามอีกแบบหนึ่งคือพิจารณาจากการรับรู้ด้วยประสาทสัมผัส

ประเภทคำนาม

ความหมาย

ตัวอย่าง

Concrete Nouns (คำนามรูปธรรม)

สิ่งที่สามารถมองเห็น สัมผัส ได้ยิน ชิม หรือดมได้

Money (เงิน), drinks (เครื่องดื่ม), bread (ขนมปัง), flower (ดอกไม้), table (โต๊ะ)

Abstract Nouns (คำนามนามธรรม)

สิ่งที่ไม่สามารถรับรู้ด้วยประสาทสัมผัสโดยตรง มักเกี่ยวข้องกับอารมณ์ ความรู้สึก

Belief (ความเชื่อ), betrayal (การทรยศ), hope (ความหวัง), love (ความรัก)

แบบฝึกหัดเกี่ยวกับคำนาม (Noun)

แบบฝึกหัดที่ 1: คำนามเอกพจน์ – พหูพจน์ (เปลี่ยนคำนามในวงเล็บให้เป็นรูปที่ถูกต้อง)

  1. There are two (child) __________ in the park.
    มีเด็กสองคนในสวนสาธารณะ

  2. I have three (book) __________ on my desk.
    ฉันมีหนังสือสามเล่มบนโต๊ะ

  3. Those (man) __________ are teachers.
    ผู้ชายเหล่านั้นเป็นครู

  4. The (mouse) __________ are running around.
    หนูกำลังวิ่งไปรอบๆ

  5. We saw many (sheep) __________ on the farm.
    เราพบแกะมากมายในฟาร์ม

  6. She bought some (tomato) __________ for dinner.
    เธอซื้อมะเขือเทศบางส่วนสำหรับมื้อเย็น

  7. The (woman) __________ are waiting outside.
    ผู้หญิงกำลังรออยู่ข้างนอก

  8. There are several (bus) __________ at the station.
    มีรถบัสหลายคันที่สถานี

คำตอบ:

  1. children

  2. books

  3. men

  4. mice

  5. sheep

  6. tomatoes

  7. women

  8. buses

แบบฝึกหัดที่ 2: คำนามนับได้และนับไม่ได้

(เลือกคำว่า “much”, “many” หรือ “a lot of”)

  1. There aren’t ___ chairs in the room.
    ไม่มีเก้าอี้ในห้องเลย

  2. She doesn’t drink ___ coffee.
    เธอไม่ดื่มกาแฟเลย

  3. I have ___ friends at school.
    ฉันมีเพื่อนที่โรงเรียนหลายคน

  4. There isn’t ___ water in the bottle.
    ไม่มีน้ำในขวดมาก

  5. How ___ books do you read every month?
    คุณอ่านหนังสือกี่เล่มทุกเดือน?

  6. We don’t have ___ sugar left.
    เรามีน้ำตาลเหลือน้อยมาก

  7. He has ___ money in his wallet.
    เขามีเงินในกระเป๋าเยอะ

  8. Are there ___ apples in the fridge?
    มีแอปเปิ้ลในตู้เย็นเยอะไหม?

คำตอบ:

  1. many

  2. much

  3. a lot of / many

  4. much

  5. many

  6. much

  7. a lot of / much

  8. many

แบบฝึกหัดที่ 3: คำนามที่แสดงความเป็นเจ้าของ (Possessive Nouns)

(เติมคำว่า ‘s หรือ ’ ในช่องว่าง)

  1. This is my (brother) __________ bike.
    นี่คือจักรยานของพี่ชายฉัน

  2. We are going to (John) __________ house.
    เรากำลังไปบ้านของจอห์น

  3. The (children) __________ toys are on the floor.
    ของเล่นของเด็กๆ อยู่บนพื้น

  4. That is the (teacher) __________ bag.
    นั่นคือกระเป๋าของคุณครู

  5. (Mr. and Mrs. Smith) __________ car is very expensive.
    รถของคุณสมิธและภรรยาของเขาราคาแพงมาก

  6. I met (Susan) __________ parents yesterday.
    เมื่อวานนี้ฉันเจอพ่อแม่ของซูซาน

  7. The (dog) __________ tail is very long.
    หางของสุนัขยาวมาก

  8. (The boys) __________ football is new.
    ฟุตบอลของเด็กผู้ชายใหม่มาก

คำตอบ:

  1. brother’s

  2. John’s

  3. children’s

  4. teacher’s

  5. Mr. and Mrs. Smith’s

  6. Susan’s

  7. dog’s

  8. boys’

สรุป

Monkey หวังว่าคำแนะนำที่ได้แชร์ไปจะช่วยให้คุณได้รับความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับคำนาม (Noun) และสามารถมั่นใจมากขึ้นในการทำแบบทดสอบต่างๆ อย่าลืมฝึกฝนบ่อยๆ เพื่อพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษของคุณให้ดีขึ้นนะครับ!

ข้อมูลในบทความนี้ถูกรวบรวมขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการอ้างอิงเท่านั้น และอาจมีการเปลี่ยนแปลงโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า กรุณาตรวจสอบข้อมูลผ่านช่องทางอย่างเป็นทางการ หรือติดต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรงเพื่อรับทราบข้อมูลล่าสุด

บทความล่าสุด

ลงทะเบียนรับคำปรึกษา

และโปรโมชั่น Monkey Stories