การเข้าใจคะแนน IELTS เป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการเรียนต่อ ทำงาน หรือย้ายถิ่นฐานไปต่างประเทศ คู่มือนี้จะอธิบายทุกอย่างที่คุณควรรู้เกี่ยวกับคะแนน IELTS โดยรวมและคะแนนของแต่ละพาร์ท ได้แก่ Listening, Reading, Writing และ Speaking โดย Monkey จะอธิบายวิธีการคำนวณคะแนนเหล่านี้และความหมายของคะแนนต่ออนาคตทางการศึกษาและอาชีพของคุณ
รูปแบบข้อสอบ IELTS
แบบทดสอบ IELTS (International English Language Testing System) ใช้ประเมินทักษะภาษาอังกฤษของคุณใน 4 ด้านหลัก ได้แก่ Listening, Reading, Writing และ Speaking โดยข้อสอบมี 2 ประเภทคือ:
-
IELTS Academic: เหมาะสำหรับผู้ที่สมัครเรียนในระดับอุดมศึกษา หรือสมัครงานวิชาชีพในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษ ข้อสอบ Reading และ Writing จะเน้นวัดทักษะภาษาอังกฤษในบริบททางวิชาการ
-
IELTS General Training: เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการย้ายถิ่นฐานไปยังประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษ หรือฝึกอบรมและศึกษาต่อในระดับมัธยม ข้อสอบ Reading และ Writing จะเน้นการใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันและที่ทำงาน
ผู้เข้าสอบทุกคนไม่ว่าจะเลือกแบบ Academic หรือ General Training จะสอบ Listening และ Speaking เหมือนกัน ส่วน Reading และ Writing จะมีความแตกต่างกันตามประเภทของข้อสอบ
การสอบ Listening (ประมาณ 30 นาที + 10 นาทีสำหรับเขียนคำตอบลงกระดาษคำตอบ)
รูปแบบ: มีบทบันทึกเสียง 4 ส่วน ซึ่งเป็นบทสนทนาและคำพูดของเจ้าของภาษาที่ใช้ภาษาอังกฤษ โดยคุณจะได้ฟังแต่ละบทเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
เนื้อหา:
-
Part 1: บทสนทนาระหว่างคนสองคนในบริบทชีวิตประจำวัน เช่น การจองห้องพัก
-
Part 2: คำพูดเดี่ยวในบริบทสังคมทั่วไป เช่น การพูดเกี่ยวกับสิ่งอำนวยความสะดวกในชุมชน
-
Part 3: บทสนทนาระหว่างคนไม่เกิน 4 คนในบริบทด้านวิชาการหรือการฝึกอบรม เช่น นักศึกษากลุ่มหนึ่งคุยกับอาจารย์เรื่องโปรเจกต์
-
Part 4: คำพูดเดี่ยวในหัวข้อวิชาการ เช่น การบรรยายในมหาวิทยาลัย
จำนวนคำถาม: ทั้งหมด 40 ข้อ ครอบคลุมหลายประเภทคำถาม เช่น เลือกคำตอบ (Multiple choice), จับคู่ข้อมูล (Matching), เติมแบบฟอร์ม (Form completion), เติมโน้ต (Note completion), เติมสรุป (Summary completion), เติมประโยค (Sentence completion), ติดป้ายไดอะแกรม (Diagram labelling), และคำตอบสั้น (Short-answer questions)
การให้คะแนน: คำตอบที่ถูกต้องแต่ละข้อจะได้ 1 คะแนน คะแนนรวมจะถูกแปลงเป็นระดับคะแนน IELTS ตามมาตราส่วน 9 ระดับ (9-band scale)
การสอบ Reading (60 นาที)
รูปแบบ: มีคำถามทั้งหมด 40 ข้อจากข้อความยาว 3 ตอน สำหรับการสอบแบบคอมพิวเตอร์จะไม่มีเวลาเพิ่มเติมในการถ่ายคำตอบลงกระดาษคำตอบ ส่วนการสอบแบบกระดาษจะเขียนคำตอบลงในกระดาษคำตอบได้โดยตรง
เนื้อหา:
-
Academic: ข้อความเป็นต้นฉบับจริงจากหนังสือ วารสาร นิตยสาร และหนังสือพิมพ์ มักมีลักษณะเป็นเชิงพรรณนา ข้อเท็จจริง การอภิปราย หรือการวิเคราะห์ เหมาะสำหรับนักศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย
-
General Training: ข้อความเป็นต้นฉบับจริงเช่นกัน แต่สั้นกว่า มาจากหนังสือ นิตยสาร หนังสือพิมพ์ ประกาศ โฆษณา คู่มือบริษัท และแนวทางการปฏิบัติ เนื้อหาจะเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันและการทำงาน
คำถาม: มีหลายรูปแบบ เช่น เลือกคำตอบ, ระบุข้อมูล (จริง/เท็จ/ไม่มีข้อมูล), ระบุทัศนคติหรือข้อคิดเห็นของผู้เขียน, จับคู่ข้อมูล, จับคู่หัวข้อ, จับคู่คุณลักษณะ, จับคู่ส่วนท้ายประโยค, เติมประโยค, เติมข้อมูลในสรุป/โน้ต/ตาราง/ผังงาน, ติดป้ายไดอะแกรม, และคำถามแบบตอบสั้น
การให้คะแนน: คำตอบที่ถูกต้องแต่ละข้อได้ 1 คะแนน คะแนนจะถูกแปลงเป็นระดับคะแนน IELTS ตามมาตราส่วน 9 ระดับ
การสอบ Writing (60 นาที)
รูปแบบ: มี 2 ส่วน
เนื้อหา:
-
Task 1 (20 นาที, อย่างน้อย 150 คำ):
-
Academic: ผู้สอบจะได้รับข้อมูลเป็นกราฟ ตาราง แผนภูมิ หรือไดอะแกรม และต้องอธิบายหรือสรุปข้อมูลด้วยถ้อยคำของตนเอง
-
General Training: ผู้สอบจะได้รับสถานการณ์หนึ่งและต้องเขียนจดหมายเพื่อขอข้อมูลหรืออธิบายสถานการณ์นั้น โดยสามารถเลือกใช้รูปแบบจดหมายทางการ กึ่งทางการ หรือไม่เป็นทางการ
-
Task 2 (40 นาที, อย่างน้อย 250 คำ): ทั้ง Academic และ General Training จะต้องเขียนเรียงความเพื่อตอบสนองต่อมุมมอง ข้อโต้แย้ง หรือปัญหาหนึ่ง ซึ่ง Task 2 มีน้ำหนักคะแนนมากกว่า Task 1 ถึงสองเท่า
การให้คะแนน: พิจารณาจากความสำเร็จของภารกิจ (Task Achievement/Response), ความเชื่อมโยงของเนื้อหา (Coherence and Cohesion), การใช้คำศัพท์ (Lexical Resource) และความหลากหลายและความถูกต้องของไวยากรณ์ (Grammatical Range and Accuracy)
การสอบ Speaking (11-14 นาที)
รูปแบบ: เป็นการสัมภาษณ์แบบตัวต่อตัวกับผู้ตรวจสอบที่ได้รับการรับรอง และมีการบันทึกเสียงไว้ แบ่งเป็น 3 ส่วน
เนื้อหา:
-
Part 1 (4-5 นาที): แนะนำตัวและตอบคำถามทั่วไปเกี่ยวกับชีวิต เช่น บ้าน ครอบครัว งาน การเรียน ความสนใจ งานอดิเรก
-
Part 2 (3-4 นาที รวมเวลาเตรียม 1 นาที): ผู้สอบจะได้รับหัวข้อบนบัตรคำถาม มีเวลาเตรียม 1 นาที และต้องพูดประมาณ 1-2 นาที หลังจากนั้นผู้สอบจะได้รับคำถามติดตามเพิ่มเติม 1-2 ข้อ
-
Part 3 (4-5 นาที): เป็นการสนทนาเชิงลึกกับผู้สอบถามเกี่ยวกับประเด็นเชิงนามธรรมที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อใน Part 2 เพื่อแสดงทัศนคติและแนวคิดอย่างลึกซึ้ง
การให้คะแนน: ประเมินจากความคล่องแคล่วและความเชื่อมโยงของคำพูด (Fluency and Coherence), การใช้คำศัพท์ (Lexical Resource), ความถูกต้องและความหลากหลายของไวยากรณ์ (Grammatical Range and Accuracy), และการออกเสียง (Pronunciation)
ระยะเวลาการสอบทั้งหมด
การสอบ Listening, Reading และ Writing จะจัดสอบในวันเดียวกันโดยไม่มีช่วงพัก ใช้เวลารวมประมาณ 2 ชั่วโมง 45 นาที ส่วนการสอบ Speaking อาจจัดสอบในวันเดียวกัน หรือก่อนหรือหลังวันสอบส่วนอื่นไม่เกิน 7 วัน ขึ้นอยู่กับการจัดการของศูนย์สอบในแต่ละพื้นที่
วิธีคำนวณคะแนน IELTS ในแต่ละพาร์ท
ระบบคะแนน IELTS ใช้มาตราส่วน 9 ระดับ (9-band scale) โดยมีช่วงคะแนนตั้งแต่ 1 (ผู้ใช้ภาษาไม่ได้เลย) ถึง 9 (ผู้ใช้ภาษาในระดับเชี่ยวชาญ) สำหรับแต่ละทักษะ ได้แก่ Listening, Reading, Writing และ Speaking ผู้สอบจะได้รับ คะแนน IELTS รายพาร์ท และคะแนนรวม (Overall Band Score) จะถูกคำนวณจากค่าเฉลี่ยของทั้งสี่พาร์ท
-
Listening: การสอบ Listening มีทั้งหมด 40 คำถาม คำตอบที่ถูกต้องแต่ละข้อจะได้ 1 คะแนน จากนั้นคะแนนดิบจะถูกแปลงเป็น คะแนน IELTS ตามตารางเทียบคะแนน (1-9) ซึ่งอาจแตกต่างเล็กน้อยตามเวอร์ชันของข้อสอบ เช่น ได้ 39-40 คะแนนดิบ = Band 9, ได้ 30-31 คะแนน = Band 7
-
Reading: การสอบ Reading ก็มี 40 คำถาม และใช้ระบบให้คะแนนเหมือน Listening อย่างไรก็ตาม ข้อสอบเวอร์ชัน Academic และ General Training มีระดับความยากต่างกัน ดังนั้นเกณฑ์ให้ คะแนน IELTS จึงแตกต่างกันเล็กน้อย เช่น ใน Academic: ได้ 39-40 = Band 9, ได้ 30-32 = Band 7
-
Writing: ได้รับการประเมินจากผู้ตรวจสอบที่ผ่านการรับรอง โดยใช้ 4 เกณฑ์หลัก: ความสำเร็จของภารกิจ (Task Achievement/Response), ความเชื่อมโยงของเนื้อหา (Coherence and Cohesion), การใช้คำศัพท์ (Lexical Resource), และความถูกต้องของไวยากรณ์ (Grammatical Range and Accuracy). Task 2 มีน้ำหนักเป็น 2 เท่าของ Task 1. คะแนน IELTS พาร์ท Writing คือค่าเฉลี่ยของคะแนนจากทั้ง 2 ภารกิจ
-
Speaking: เป็นการสัมภาษณ์ตัวต่อตัวกับผู้สอบถามที่ได้รับการรับรอง ประเมินจาก 4 เกณฑ์หลัก: ความคล่องแคล่วและเชื่อมโยง (Fluency and Coherence), การใช้คำศัพท์ (Lexical Resource), ไวยากรณ์ (Grammatical Range and Accuracy), การออกเสียง (Pronunciation). แต่ละเกณฑ์ให้คะแนน 0-9 และ คะแนน IELTS ในพาร์ท Speaking คือค่าเฉลี่ยของทั้ง 4 เกณฑ์
คะแนน IELTS โดยรวมและความหมายของแต่ละระดับคะแนน
คะแนน IELTS โดยรวม (Overall Band Score) คือค่าเฉลี่ยของความสามารถด้านภาษาอังกฤษในทั้ง 4 ทักษะ ได้แก่ Listening, Reading, Writing และ Speaking ซึ่งคะแนนนี้จะถูกปัดให้ใกล้ที่สุดเป็นจำนวนเต็มหรือครึ่งคะแนน (เช่น 6.0, 6.5, 7.0)
ต่อไปนี้คือความหมายของแต่ละระดับ คะแนน IELTS:
-
Band 9 (ผู้ใช้ระดับเชี่ยวชาญ - Expert User): มีความสามารถในการใช้ภาษาอย่างสมบูรณ์แบบ ใช้ภาษาได้ถูกต้อง เหมาะสม และคล่องแคล่ว พร้อมความเข้าใจในเชิงวัฒนธรรมของภาษาอย่างลึกซึ้ง
-
Band 8 (ผู้ใช้ระดับดีมาก - Very Good User): ใช้ภาษาได้อย่างมีประสิทธิภาพเต็มที่ อาจมีข้อผิดพลาดเล็กน้อยและไม่เป็นระบบ สามารถจัดการกับหัวข้อที่ซับซ้อนได้ดี
-
Band 7 (ผู้ใช้ระดับดี - Good User): ใช้ภาษาได้ดีโดยรวม แม้อาจมีข้อผิดพลาดหรือความเข้าใจผิดในบางสถานการณ์ สามารถเข้าใจภาษาที่ซับซ้อนได้ดีในระดับหนึ่ง
-
Band 6 (ผู้ใช้ระดับพอใช้ - Competent User): ใช้ภาษาได้อย่างมีประสิทธิภาพในระดับทั่วไป แม้จะมีข้อผิดพลาดและความเข้าใจผิดบ้าง โดยเฉพาะในบริบทที่คุ้นเคย
-
Band 5 (ผู้ใช้ระดับพอประมาณ - Modest User): มีความสามารถใช้ภาษาในระดับพื้นฐาน เข้าใจความหมายโดยรวมในสถานการณ์ส่วนใหญ่ แต่มีแนวโน้มทำผิดบ่อย เหมาะกับการสื่อสารขั้นพื้นฐานในสาขาตนเอง
-
Band 4 (ผู้ใช้จำกัด - Limited User): ความสามารถในการใช้ภาษาจำกัดอยู่แค่ในสถานการณ์ที่คุ้นเคย เข้าใจและแสดงออกได้ไม่ดี มีปัญหาด้านการใช้ภาษาอย่างชัดเจน
-
Band 3 (ผู้ใช้จำกัดมาก - Extremely Limited User): เข้าใจเฉพาะความหมายโดยรวมในสถานการณ์ที่คุ้นเคยมาก ๆ การสื่อสารขาดตอนบ่อยครั้ง
-
Band 2 (ผู้ใช้เป็นบางช่วง - Intermittent User): เข้าใจภาษาอังกฤษทั้งฟังและอ่านได้ยากมาก ไม่สามารถสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ
-
Band 1 (ไม่สามารถใช้ภาษาได้ - Non-User): ไม่มีความสามารถในการใช้ภาษา ยกเว้นเพียงคำศัพท์เล็กน้อย หรืออาจได้รับ Band 1 หากไม่ได้เข้าสอบ
ใบรับรอง IELTS ใช้ทำอะไรได้บ้าง?
ใบรับรอง IELTS ใช้แสดงความสามารถด้านภาษาอังกฤษของคุณในหลายวัตถุประสงค์ โดยทั่วไป คะแนน IELTS ถูกนำไปใช้ในกรณีต่าง ๆ เช่น:
-
การสมัครเรียนต่อมหาวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยและวิทยาลัยในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษมักกำหนดให้ผู้สมัคร โดยเฉพาะนักศึกษาต่างชาติ ต้องยื่น คะแนน IELTS เป็นส่วนหนึ่งของขั้นตอนการสมัคร
-
การย้ายถิ่นฐาน: รัฐบาลของประเทศอย่างแคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และสหราชอาณาจักรมักใช้ คะแนน IELTS สำหรับการขอวีซ่าและถิ่นที่อยู่ถาวร
-
การสมัครงาน: บริษัทข้ามชาติหรือบริษัทในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษอาจขอ คะแนน IELTS เพื่อประเมินความสามารถทางภาษาอังกฤษของผู้สมัคร
-
การขึ้นทะเบียนวิชาชีพ: หน่วยงานวิชาชีพบางแห่ง (เช่น ด้านสาธารณสุข กฎหมาย หรือวิศวกรรม) กำหนดให้มี คะแนน IELTS สำหรับการขอใบอนุญาตหรือการรับรองวิชาชีพ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับคะแนน IELTS
1. คะแนน IELTS เท่าไรถึงเรียกว่าดี?
“คะแนนดี” ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของคุณ สำหรับการสมัครเรียน มหาวิทยาลัยมักต้องการคะแนนประมาณ 6.0-7.5 สำหรับระดับปริญญาตรีหรือสูงกว่า ส่วนการย้ายถิ่นฐานอาจกำหนดขั้นต่ำในแต่ละพาร์ท เช่น 6.0 ขึ้นไป ควรตรวจสอบข้อกำหนดเฉพาะของสถาบันหรือหน่วยงานที่คุณสมัคร
2. คะแนน IELTS มีอายุการใช้งานนานเท่าไร?
คะแนน IELTS มีอายุใช้งานทั่วไป 2 ปี นับจากวันที่สอบ เนื่องจากความสามารถทางภาษาอาจเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา อย่างไรก็ตาม บางองค์กรอาจยอมรับคะแนนที่เกิน 2 ปี หากคุณสามารถแสดงหลักฐานว่าคุณยังคงพัฒนาหรือรักษาระดับภาษาได้
3. หากไม่พอใจกับคะแนน IELTS สามารถสอบใหม่ได้หรือไม่?
ได้แน่นอน ไม่มีข้อจำกัดเรื่องจำนวนครั้งในการสอบใหม่ คุณสามารถสอบซ้ำได้เท่าที่ต้องการจนกว่าจะได้ คะแนน IELTS ตามเป้าหมาย แนะนำให้เตรียมตัวให้พร้อมก่อนสอบใหม่เพื่อเพิ่มโอกาสได้คะแนนที่สูงขึ้น
4. จะได้รับใบรายงานคะแนน IELTS อย่างไร?
ใบรายงานผลสอบ (Test Report Form - TRF) จะออกประมาณ 13 วันหลังจากสอบแบบกระดาษ หรือ 3-5 วันหลังสอบแบบคอมพิวเตอร์ โดยคุณสามารถตรวจสอบผลสอบออนไลน์ล่วงหน้า และจะได้รับสำเนา TRF ทางไปรษณีย์ หรือรับได้โดยตรงที่ศูนย์สอบ
การทำความเข้าใจทั้ง คะแนน IELTS โดยรวมและแต่ละพาร์ทเป็นกุญแจสำคัญในการใช้ผลสอบของคุณอย่างมีประสิทธิภาพ หวังว่าข้อมูลจาก Monkey นี้จะช่วยให้คุณเข้าใจวิธีคำนวณคะแนนและความหมายของแต่ละ Band อย่างชัดเจน พร้อมนำไปใช้สู่เป้าหมายระดับสากลอย่างมั่นใจ